การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative
Research) เป็นวิธีค้นหาความรู้และความจริง
โดยเน้นที่ข้อมูลเชิงตัวเลข การวิจัยเชิงปริมาณจะพยายามออกแบบวิธีการวิจัยให้มีการควบคุมตัวแปรที่ศึกษาต้องจัดเตรียมเครื่องมือรวบรวมข้อมูลให้มีคุณภาพ
จัดกระทำสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องให้เป็นมาตรฐาน และใช้วิธีการทางสถิติช่วยวิเคราะห์และประมวลข้อสรุปเพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน
(Error) น้อยที่สุด (ศาสตราจารย์เกียรติคุณบุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์
: ๒๕๔๙)
วัตถุประสงค์
การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) มีวัตถุประสงค์ที่จะพยายามให้คำอธิบายปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์
โดยพยายามใช้แนวที่เรียกว่า ปฎิฐานนิยม (Positivism) การอธิบายปรากฎการณ์จึงเป็นการนำเสนอเชิงตัวเลข
ทางสถิติ เช่น ร้อยละของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมือง ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความพึงพอใจ
เป็นต้น
ลักษณะของข้อมูล
การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เป็นการศึกษาสภาพทั่วไปของสังคมโดยกำหนดตัวแปรต่างๆเพื่อเก็บข้อมูลสถิติตัวเลข
อาจเป็นข้อมูลปฐมภูมิหรือทุติยภูมิ การเสนอภาพรวมจะมี ข้อมูลเชิงปริมาณประกอบด้วย
วิธีการเก็บข้อมูล
การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) จะเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสำรวจ
เน้นการเก็บข้อมูลจากคนจำนวนมาก
เพื่อทำการวิเคราะห์และทดสอบทฤษฎีหรือสร้างทฤษฎีและให้ความหมายในเชิงวิชาการมากกว่าการศึกษาแง่มุมของชาวบ้าน
การตั้งสมมติฐานและการทดสอบสมมติฐาน
การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) ข้อมูลจากการวิจัยเชิงปริมาณจะเหมาะสมกับการทดสอบทฤษฎีด้วยวิธีการแบบอุปนัย
(Deductive) แนวปฎิฐานนิยมเป็นหลัก
การทดสอบความแม่นตรงของข้อมูล (Validity) ความเชื่อถือได้ของข้อมูล (Reliability)
การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) ใช้การเก็บข้อมูลจากคนจำนวนมากด้วยแบบสอบถาม
คำถามในแบบสอบถามจึงจำเป็นต้องมีความชัดเจน
ระยะเวลา
การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถแยกออกจากการเก็บข้อมูลโดยเด็ดขาดได้
การวิเคราะห์ข้อมูลอาจให้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์เชิงสถิติดำเนินการได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับชุมชนที่ไปศึกษา
ขั้นตอนการวิจัยเชิงปริมาณ ประกอบด้วย
1.) การเลือกหัวข้อเรื่องที่จะทำการวิจัย (Research a Topic) ในขั้นตอนแรกผู้วิจัยจะต้องตัดสินใจให้แน่ชัดเสียก่อนว่าจะวิจัยเรื่องอะไร
แล้วกำหนดเป็นหัวเรื่องที่จะวิจัย
2.) การกำหนดปัญหาในการวิจัย
(Formulating the Research Problem) เป็นการตั้งปัญหาในเรื่องที่ต้องการวิจัยเพื่อหาคำตอบ
หรือเป็นการแจกแจงวัตถุประสงค์ของการศึกษา
โดยต้องกำหนดขอบเขตของปัญหาให้ชัดเจน
และเป็นปัญหาที่สามารถหาคำตอบได้
3.) การสำรวจวรรณกรรม (Extensive
Literature Survey) เป็นการทบทวนเอกสารต่างๆแนวคิดทางทฤษฎี
และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องที่ต้องการศึกษา เพื่อหาแนวคิดทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
และสำรวจให้แน่ใจว่าไม่วิจัยซ้ำกับผู้อื่น ทั้งนี้การวิจัยควรเน้นการเสริมสร้างให้เกิดความรู้ใหม่
4.) การตั้งสมมติฐานการวิจัย
(Formulating Hypothesis) เป็นการคาดคะเนคำตอบของปัญหาในการวิจัย
หรือคาดคะเนความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ ที่จะศึกษาไว้ล่วงหน้าแล้วจึงหาข้อมูลมาพิสูจน์
5.) การออกแบบการวิจัย (Research
Design) เป็นการวางแผนกำหนดวิธีการในการดำเนินการในขั้นตอนต่าง
ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบของปัญหาในการวิจัย เช่นการเก็บข้อมูล การเลือกเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูล
ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการวิจัย บุคลากรและงบประมาณที่จะใช้
6.) การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data
Collection) เป็นการวางแผนว่าจะเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างไร
จะใช้ข้อมูลปฐมภูมิ หรือทุติยภูมิ และถ้าเป็นข้อมูลทุติยภูมิควรจะเก็บอย่างไร
การสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูล ถ้าเป็นข้อมูลทุติยภูมิจะใช้ข้อมูลจากแหล่งใด
7.) การวิเคราะห์ข้อมูล (Data
Analysis) ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จะนำมาบรรณาธิการความถูกต้อง (การตรวจสอบความถูกต้อง) และความน่าเชื่อถือของข้อมูลก่อน
จึงทำการประเมินผลและวิเคราะห์ผลที่ได้และพิสูจน์กับสมมติบานที่ตั้งไว้
8.) การเขียนรายงานผลการวิจัยและจัดพิมพ์เผยแพร่
(Research Report) เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวิจัย ผู้วิจัยจะต้องเขียนรายงาน
เพื่อให้ผู้อื่นทราบถึงกิจกรรมที่ดำเนินในขั้นตอนต่างๆ และสิ่งที่ค้นพบจากการวิจัย
ซึ่งผู้วิจัยจะต้องเขียนรายงานตามรูปแบบของการเขียนรายงานการวิจัย และเขียนด้วยความซื่อสัตย์ในสิ่งที่ค้นพบ
แหล่งอ้างอิง
http://www.ripb.ac.th/~intanin/elearn/EKARU/c1classify.htm (August 12, 2005)
http://www.ripb.ac.th/~intanin/elearn/EKARU/c1classify.htm (August 12, 2005)
http://school.obec.go.th/sup_br3/r_2.htm (August 12, 2005)
http://www2.feu.ac.th/acad/mk/articles_detail.php?id=58
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น