แนวคิดเกี่ยวกับการสาธารณสุขและความสำคัญของงานสาธารณสุข
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับงานสาธารณสุข การสาธารณสุขในประเทศและต่างประเทศ
ระบบสาธารณสุขในประเทศไทย การพัฒนางานสาธารณสุขในประเทศไทย บทบาทของกระทรวงสาธารณสุข นวัตกรรมสาธารณสุข
นโยบายการแก้ปัญหาสาธารณสุขในปัจจุบัน แผนพัฒนาสาธารณสุขของประเทศ
แนวคิดเกี่ยวกับหลักประกันสุขภาพ กองทุนสุขภาพ
วัตถุประสงค์ เพื่อ
ให้นักศึกษามีความสามารถดังนี้
1. อธิบายถึงแนวคิดและความหมายการสาธารณสุข ได้
2. อธิบายเกี่ยวกับการสาธารณสุขในประเทศและต่างประเทศไทยได้
3. อธิบายถึงทิศทางการพัฒนางานสาธารณสุขกับบทบาทของกระทรวงสาธารณสุขได้
4. อธิบายแผนพัฒนางานสาธารณสุขได้
5. อธิบายเกี่ยวกับแนวคิดหลักประกันสุขภาพได้
6. อธิบายแนวทางการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของไทยได้
7. นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันและการปฏิบัติงานสาธารณสุขชุมชนได้
เนื้อหา
คำทั่วๆ ไปสำหรับการสาธารณสุข
สาธารณสุข
หมายถึง ศาสตร์และศิลปะที่เกี่ยวข้องกับการดูแลและจัดการสุขภาพทั้งปวงของชุมชนโดยอิงตามการวิเคราะห์ด้านสุขภาพของประชากร
คำว่า “สุขภาพนั้นมีนิยามและจัดการในลักษณะต่างๆ กันจากหน่วยงานต่างๆ สำหรับองค์การอนามัยโลก แห่งสหประชาชาติ
ซึ่งได้กำหนดมาตรฐานและเฝ้าระวังโรคทั่วโลก ได้นิยามคำว่า สุขภาพ ไว้ว่า "สภาพของการมีชีวิตทางกายภาพ
ทางจิตใจ และทางสังคมที่สมบูรณ์
ไม่ใช้เพียงไม่มีโรคภัยหรือความแข็งแรงทางกายเท่านั้น"
การสาธารณสุข (Primary Health Care หรือ PHC หรือ สสม.)
การสาธารณสุขมูลฐาน หมายถึง
การดูแลสุขภาพที่จำเป็นซึ่งจัดให้อย่างทั่งถึงสำหรับทุกคนทุกครอบครัวและในทุกชุมชน
โดยการยอมรับและการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ของทุกคน
ด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่เกินกำลังของชุมชนและประเทศจะรับได้ นอกจากนั้น
การสาธารณสุขมูลฐานยังต้องก่อให้เกิดการผสมผสานระหว่างระบบบริการสาธารณสุขของประเทศกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นธรรม
โดยมีระบบบริการสาธารณสุขเป็นแกนกลาง
การสาธารณสุขมูลฐาน
เป็นกลวิธีทางสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นจากระบบบริการสาธารณสุข
ซึ่งมีอยู่ในระดับตำบลและหมู่บ้าน ผสมผสานทางด้าน การรักษาพยาบาล
การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการฟื้นฟูสภาพที่ดำเนินการโดยประชาชน
โดยใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น ด้วยวิธีกการหรือเทคโนโลยีที่เหมาะสม
โดยมีผู้สื่อข่าวสาธารณสุข (ผสส.) และ อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) เป็นผู้ประสานงาน
ความหมายของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม. )
อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือที่เราเรียกย่อ ๆ ว่า อสม. นั้น เป็นรูปแบบหนึ่งของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลสุขภาพของตนเอง ครอบครัว และชุมชน โดยผ่านกระบวนการอบรมให้ความรู้จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และการปฏิบัติงานด้วยความเสียสละต่อประชาชนในหมู่บ้าน กระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา อสม. จึงเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามลำดับจนครอบคลุมหมู่บ้านในชนบทและชุมชนเมืองกว่า 8 แสนคน แม้ว่าพลังของ อสม. อาจจะดูเล็กน้อยดั่งเม็ดกรวดเม็ดทรายเมื่อยามกระจายอยู่ตามหมู่บ้านและชุมชน ต่าง ๆ แต่เมื่อมีการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเป็นชมรมฯ พลังเหล่านี้ก็มีความมั่นคงดั่งภูผา พร้อมที่จะต่อสู้และก้าวนำไปสู่การพัฒนาด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตของภาคประชาชน
ประเภทและจำนวน
กระทรวง สาธารณสุขได้กำหนดให้มีอาสาสมัครสาธารณสุขในงานสาธารณสุขมูลฐานเพียงประเภท เดียว คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ซึ่งหมายถึง บุคคลที่ได้รับการคัดเลือกจากชาวบ้านในแต่ละกลุ่มบ้านและได้รับการอบรมตาม หลักสูตรที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
บทบาทหน้าที่สำคัญ
ในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมสุขภาพอนามัย (Change agents) การสื่อข่าวสารสาธารณสุข การแนะนำเผยแพร่ความรู้ การวางแผน และประสานกิจกรรมพัฒนาสาธารณสุข ตลอดจนให้บริการสาธารณสุขด้านต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมสุขภาพ การเฝ้าระวังและป้องกันโรค การช่วยเหลือและรักษาพยาบาลขั้นต้น โดยใช้ยาและเวชภัณฑ์ตามขอบเขตที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด การส่งต่อผู้ป่วยไปรับบริการ การฟื้นฟูสภาพ และจัดกิจกรรมพัฒนาสุขภาพภาคประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน
โดยกำหนดจำนวนอาสาสมัครสาธารณสุขในหมู่บ้าน/ชุมชน โดยเฉลี่ย ดังนี้
พื้นที่ชนบท : อสม. 1 คน ต่อ 8 - 15 หลังคาเรือน
พื้นที่เขตเมือง : - เขตชุมชนหนาแน่น (ชุมชนตลาด) ไม่มี อสม.
- เขตชุมชนแออัด อสม. 1 คน ต่อ 20 - 30 หลังคาเรือน
- เขตชุมชนชานเมือง อสม. 1 คน ต่อ 8 - 15 หลังคาเรือน
ดังนั้น ในหมู่บ้าน/ชุมชนหนึ่ง ๆ อาจมีจำนวน อสม. ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับจำนวนหลังคาเรือนของหมู่บ้าน/ชุมชนนั้น ๆ โดยทั่วไปจะมี อสม. ประมาณ 10 - 20 คนต่อหมู่บ้าน
ความหมายของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม. )
อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือที่เราเรียกย่อ ๆ ว่า อสม. นั้น เป็นรูปแบบหนึ่งของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลสุขภาพของตนเอง ครอบครัว และชุมชน โดยผ่านกระบวนการอบรมให้ความรู้จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และการปฏิบัติงานด้วยความเสียสละต่อประชาชนในหมู่บ้าน กระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา อสม. จึงเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามลำดับจนครอบคลุมหมู่บ้านในชนบทและชุมชนเมืองกว่า 8 แสนคน แม้ว่าพลังของ อสม. อาจจะดูเล็กน้อยดั่งเม็ดกรวดเม็ดทรายเมื่อยามกระจายอยู่ตามหมู่บ้านและชุมชน ต่าง ๆ แต่เมื่อมีการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเป็นชมรมฯ พลังเหล่านี้ก็มีความมั่นคงดั่งภูผา พร้อมที่จะต่อสู้และก้าวนำไปสู่การพัฒนาด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตของภาคประชาชน
ประเภทและจำนวน
กระทรวง สาธารณสุขได้กำหนดให้มีอาสาสมัครสาธารณสุขในงานสาธารณสุขมูลฐานเพียงประเภท เดียว คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ซึ่งหมายถึง บุคคลที่ได้รับการคัดเลือกจากชาวบ้านในแต่ละกลุ่มบ้านและได้รับการอบรมตาม หลักสูตรที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
บทบาทหน้าที่สำคัญ
ในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมสุขภาพอนามัย (Change agents) การสื่อข่าวสารสาธารณสุข การแนะนำเผยแพร่ความรู้ การวางแผน และประสานกิจกรรมพัฒนาสาธารณสุข ตลอดจนให้บริการสาธารณสุขด้านต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมสุขภาพ การเฝ้าระวังและป้องกันโรค การช่วยเหลือและรักษาพยาบาลขั้นต้น โดยใช้ยาและเวชภัณฑ์ตามขอบเขตที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด การส่งต่อผู้ป่วยไปรับบริการ การฟื้นฟูสภาพ และจัดกิจกรรมพัฒนาสุขภาพภาคประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน
โดยกำหนดจำนวนอาสาสมัครสาธารณสุขในหมู่บ้าน/ชุมชน โดยเฉลี่ย ดังนี้
พื้นที่ชนบท : อสม. 1 คน ต่อ 8 - 15 หลังคาเรือน
พื้นที่เขตเมือง : - เขตชุมชนหนาแน่น (ชุมชนตลาด) ไม่มี อสม.
- เขตชุมชนแออัด อสม. 1 คน ต่อ 20 - 30 หลังคาเรือน
- เขตชุมชนชานเมือง อสม. 1 คน ต่อ 8 - 15 หลังคาเรือน
ดังนั้น ในหมู่บ้าน/ชุมชนหนึ่ง ๆ อาจมีจำนวน อสม. ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับจำนวนหลังคาเรือนของหมู่บ้าน/ชุมชนนั้น ๆ โดยทั่วไปจะมี อสม. ประมาณ 10 - 20 คนต่อหมู่บ้าน
ประวัติสถานบริการสุขภาพด่านแรก
(Primary care Unit : PCU)
ในอดีตได้จำกัดความคำสำหรับ สถานบริการสุขภาพด่านแรก (Primary care Unit : PCU)
หรือหน่วยบริการปฐมภูมิ คือ หรือสถานีอนามัย และมีการพัฒนาระบบริการมาแล้วแต่ยุคสมัยภายใต้การบริการแก่ประชาชนได้แก่
ศูนย์สุขภาพชุมชน (สมัยรัฐบาลทักษิณ) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล :
รพ.สต. (สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์)
เป็นสถานบริการสาธารณสุขระดับต้น
(Primary Care) ของกระทรวงสาธารณสุขและเป็นหน่วยงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของสาธารณสุขอำเภอ
โดยมีคณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขระดับอำเภอ (คปสอ.)
เป็นองค์กรประสานงานและสนับสนุนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข
วิวัฒนาการใน
พ.ศ. 2456 มีการจัดตั้ง “โอสถสภา“ (โอสถศาลา หรือโอสถสถาน)
ขึ้นในบางจังหวัดให้เป็นทั้งสถานที่บำบัดโรคและสำนักงานของแพทย์สาธารณสุข ต่อมาใน
พ.ศ. 2475 ได้เปลี่ยนแปลงชื่อเป็น “สุขศาลา“ ระหว่างที่ยังเป็น “สุขศาลา“ อยู่นั้น
ในท้องที่ที่เป็นชุมชนหนาแน่น ราชการส่งแพทย์ไปประจำเพื่อให้บริการแก่ประชาชน “สุขศาลา“ ประเภทนี้เรียกว่าเป็น “สุขศาลาชั้นหนึ่ง“ ส่วน “สุขศาลาชั้นสอง“
คือ สุขศาลาที่ไม่มีแพทย์ประจำ
เมื่อมีการสถาปนากระทรวงสาธารณสุขในปี พ.ศ. 2485 กรมการแพทย์รับโอน “สุขศาลาชั้นหนึ่ง “ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัด และอำเภอใหญ่
ๆ บางแห่งไปปรับปรุงเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัด และโรงพยาบาลอำเภอ
บางส่วนเทศบาลรับไปดำเนินการ “ สุขศาลาชั้นหนึ่ง “ ที่มิได้โอนไปอยู่กับเทศบาลและมิได้รับการยกฐานะเป็นโรงพยาบาลอยู่ภายใต้การดูแลของกรมอนามัยซึ่งต่อมา
“ สุขศาลาชั้นหนึ่ง “ เหล่านี้พัฒนามาเป็น
“ สถานีอนามัยชั้นหนึ่ง “( พ.ศ. 2497 )
เป็น “ ศูนย์การแพทย์อนามัยชนบท “ ( พ.ศ.
2515 ) เป็น “ ศูนย์การแพทย์และอนามัย “ ( พ.ศ. 2517 ) เป็น “ โรงพยาบาลอำเภอ “ ( พ.ศ. 2518 ) จนถึงปัจจุบัน สำหรับ “ สุขศาลาชั้นสอง “
ส่วนใหญ่อยู่กับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “สถานีอนามัยชั้นสอง“( พ.ศ. 2495 ) และเป็น “ สถานีอนามัย “ ( พ.ศ. 2515 ) มาถึงปัจจุบัน
ในส่วนของสำนักงานผดุงครรภ์คาดว่า เริ่มในปี พ.ศ. 2497
โดยที่รัฐบาลเห็นสำควรให้การสงเคราะห์แก่มารดาและทารกเพื่อลดอัตราการตายของทารก
จึงได้มีการอบรมนักเรียนผดุงครรภ์ ชั้น 2 ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482
ซึ่งส่วนใหญ่ส่งไปอยู่ตามท้องที่ตำบลที่ยังไม่มีการสร้างสถานีอนามัย
โดยให้ไปตั้งเป็น “สำนักงานนางผดุงครรภ์ชั้นสอง“ ที่บ้านกำนัน ต่อมามีการสร้างสำนักงานผดุงครรภ์ขึ้น โดยแบ่งเป็น 2 แบบ
แบบที่ 1
มีทุนผูกพันให้ผู้บริจาคทรัพย์สร้างสำนักงานผดุงครรภ์ส่งลูกหลานเข้าเรียนผดุงครรภ์ได้
แล้วกลับไปประจำที่สำนักงานผดุงครรภ์นั้น ส่วนแบบที่ 2 เป็นแบบไม่มีทุนผูกพัน ใน
พ.ศ. 2525 มีการยกฐานะ สำนักงานผดุงครรภ์ทั้งหมดกว่า 1,400
แห่ง ขึ้นเป็นสถานีอนามัยทำให้มีจำนวนสถานีอนามัยเพิ่มมากในปีดังกล่าว ต่อมาในปี
พ.ศ. 2535 กระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายการพัฒนาสถานีอนามัย จึงได้จัดทำโครงการ “ทศวรรษแห่งการพัฒนาสถานีอนามัย“ กำหนดระยะเวลาตั้งแต่
ปี 2535-2544 รวม 10 ปี โดยได้กำหนดสถานีอนามัย เป็น 2 ประเภทคือ
สถานีอนามัยทั่วไป และสถานีอนามัยขนาดใหญ่
·
สุขศาลาชั้น
1 สุขศาลาชั้น 2 ก่อน พ.ศ.2485
·
สถานีอนามัยชั้น
1 พ.ศ.2497 สถานีอนามัยชั้น 2 พ.ศ.2495
·
ศูนย์การแพทย์อนามัยชนบท
พ.ศ.2515 สถานีอนามัย พ.ศ.2515
·
ศูนย์การแพทย์และอนามัย
พ.ศ.2517
·
โรงพยาบาลอำเภอ
พ.ศ.2518
·
โครงการ
ทสอ. พ.ศ.2535
·
ศูนย์สุขภาพชุมชน
(PCU.) สมัยรัฐบาลทักษิณ
·
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล พ.ศ.2553
หมายเหตุ พ.ศ. 2523
มีการจัดตั้งสถานบริการสาธารณสุขชุมชนในหมู่บ้านพื้นที่เป้าหมายเฉพาะแห่งขึ้นกับสถานีอนามัยในตำบลนั้น
ๆ
สถานีอนามัยทั่วไป หมายถึง สถานีอนามัยส่วนใหญ่ของประเทศ
มีบทบาทและความรับผิดชอบตามที่กำหนดไว้ทั้งสิ้น 4 งาน
ได้แก่การบริการสาธารณสุขผสมผสาน การสนับสนุนงานสาธารณสุขมูลฐานและพัฒนาชุมชน
บริหารงานวิชาการ งานสุขศึกษาและประชาสัมพันธ์
มีกรอบอัตรากำลังและอาคารบ้านพักตลอดจนครุภัณฑ์ตามที่กำหนด
สถานีอนามัยขนาดใหญ่ หมายถึง สถานีอนามัยทั่วไปจำนวนหนึ่งซึ่งถูกคัดเลือกให้พัฒนาขึ้นเป็นสถานีอนามัยขนาดใหญ่ในโครงการทศวรรษแห่งการพัฒนาสถานีอนามัย
ซึ่งมีเป้าหมายจะพิจารณาสถานีอนามัยจำนวนประมาณ 1 ใน 5
ของสถานีอนามัยทั่วประเทศโดยคัดเลือกเลือกจากสถานีอนามัยซึ่งมีที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางของชุมชน
ทั้งด้านการคมนาคมสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
อันจะทำให้สามารถให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงได้ กว้างขวางกว่าสถานีอนามัยทั่วไป
สถานีอนามัยขนาดใหญ่ จะมีบทบาทหน้าที่เช่นเดียวกับสถานีอนามัยทั่วไป
แต่จะมีขีดความสามารถในการปฏิบัติงานบางอย่างสูงกว่า เช่น งานทันตกรรมพื้นฐาน
ซึ่งยังไม่มีในสถานีอนามัยทั่วไป
นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เสมือนพี่เลี้ยงสนับสนุนสถานีอนามัยทั่วไปที่กำหนดเป็นสถานีอนามัยลูกข่ายทั้งในด้านการบริการรับส่งต่อผู้ป่วย
การบริหารและวิชาการ
1. สุขนิสัยและพฤติกรรมสุขภาพ
2.
สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
3. ระบบบริการอนามัย
และการสาธารณสุขมูลฐาน
4. พันธุกรรม
ระบบสุขภาพ จะหมายถึง
ระบบทั้งมวลที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเป็นองค์รวม
โดยที่สามารถส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน
หรือระดับประเทศ และอาจจะต่อไปเป็นระดับโลก
แล้วแต่ว่าเราจะกำหนดขอบเขตว่าเราจะพูดถึงระบบสุขภาพกว้าง/แคบแค่ไหน
ทั้งนี้ก็จะรวมถึงปัจจัยที่มีผลนั้นทั้งด้านบุคคล สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม
กายภาพ และชีวภาพ รวมถึงปัจจัยด้านระบบบริการสุขภาพอีกด้วย
ระบบบริการสุขภาพ หมายถึง ระบบบริการต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการดูแลสุขภาพ ทั้งทางด้านการสร้างเสริมสุขภาพ การควบคุมป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพ ที่เป็นแบบผสมผสาน หรือเฉพาะด้าน เฉพาะเรื่อง ทั้งนี้หากเป็นส่วนที่รัฐจัดขึ้น สนับสนุนให้จัดขึ้น หรืออยู่ภายใต้การควบคุมกำกับของรัฐ เพื่อประชาชนโดยทั่วไป (เป็นสาธารณะ) ก็จะเรียกในส่วนนั้นว่า บริการสาธารณสุข
ระบบบริการสุขภาพ หมายถึง ระบบบริการต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการดูแลสุขภาพ ทั้งทางด้านการสร้างเสริมสุขภาพ การควบคุมป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพ ที่เป็นแบบผสมผสาน หรือเฉพาะด้าน เฉพาะเรื่อง ทั้งนี้หากเป็นส่วนที่รัฐจัดขึ้น สนับสนุนให้จัดขึ้น หรืออยู่ภายใต้การควบคุมกำกับของรัฐ เพื่อประชาชนโดยทั่วไป (เป็นสาธารณะ) ก็จะเรียกในส่วนนั้นว่า บริการสาธารณสุข
การพัฒนาสุขภาพของคนไทย มีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
.......... คน เป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญในการพัฒนาใดๆ ก็ตามจะต้องมีคนที่อยู่ในชุมชนรวมตัวกัน ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ อาจเริ่มจากคนกลุ่มหนึ่งอาจจะมากหรือน้อยก็ตามซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายต่างกลุ่ม ต่างอาชีพ ต่างฐานะ ต่างความคิด ต่างเพศ ต่างวัย แต่มีจิตใจเดียวกันเพื่อส่วนรวม และมีเป้าหมายร่วมกัน มีการขยายแนวร่วมออกไปเรื่อยๆ
.......... องค์ความรู้ ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน จำเป็นต้องมี องค์ความรู้ วิธีการ เทคโนโลยี ภูมิปัญญาและประสบการณ์ จะทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ การถ่ายทอดและการกระจายความรู้ข้อมูลข่าวสารในชุมชน
.......... ทุน เพื่อการพัฒนาสุขภาพ การดำเนินงานพัฒนาสุขภาพ จำเป็นต้องอาศัยทุนที่เป็นตัวเงิน และทุนที่ไม่ใช่ตัวเงินหรือทุนทางสังคมและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งทุนที่เป็นตัวเงินจะมีความหมายในลักษณะการเงินการคลังด้านสุขภาพและการพัฒนาด้านต่างๆ เพื่อจัดบริการให้กับคนในชุมชนอย่างคุ้มค่า คุ้มเวลาที่ทำงานและประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ซึ่งแต่ละชุมชน สามารถแสวงหาแหล่งทุนได้ทั้งภายในและภายนอกชุมชน และนำมาบริหาร จัดการให้เกิดผลกำไร แล้วนำดอกผลนั้นมาใช้ในการพัฒนาต่อไป
.......... นอกจากองค์ประกอบหลัก 3 ประการแล้ว หัวใจสำคัญของระบบสุขภาพภาคประชาชน คือ การจัดการ (management) เพื่อให้ประชาชนมีความสามารถในการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ซึ่งการจัดการในที่นี้ คือ การปฏิบัติการประสานให้เกิดความสมดุลย์ เพื่อการเคลื่อนไหวของปัจจัย คน องค์ความรู้หรือวิธีการทำงาน และทุนเพื่อการพัฒนาสุขภาพ ให้เกิดการดำเนินกิจกรรมการพัฒนาสุขภาพ เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของคนในชุมชน ป้องกันและแก้ปัญหาสุขภาพของคนในชุมชน ทั้งนี้กิจกรรมการพัฒนาสุขภาพที่ดำเนินโดยชุมชนนั้นขึ้นกับการตัดสินใจของชุมชนว่าจะดำเนินการในเรื่องใด อย่างไร ซึ่งสามารถแสดงเป็นแผนภาพเชิงแนวคิดองค์ประกอบระบบสุขภาพภาคประชาชน ดังแผนภาพ 1
การจัดบริการสาธารณสุขต่าง ๆ ในแต่ละสังคม
.......... คน เป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญในการพัฒนาใดๆ ก็ตามจะต้องมีคนที่อยู่ในชุมชนรวมตัวกัน ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ อาจเริ่มจากคนกลุ่มหนึ่งอาจจะมากหรือน้อยก็ตามซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายต่างกลุ่ม ต่างอาชีพ ต่างฐานะ ต่างความคิด ต่างเพศ ต่างวัย แต่มีจิตใจเดียวกันเพื่อส่วนรวม และมีเป้าหมายร่วมกัน มีการขยายแนวร่วมออกไปเรื่อยๆ
.......... องค์ความรู้ ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน จำเป็นต้องมี องค์ความรู้ วิธีการ เทคโนโลยี ภูมิปัญญาและประสบการณ์ จะทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ การถ่ายทอดและการกระจายความรู้ข้อมูลข่าวสารในชุมชน
.......... ทุน เพื่อการพัฒนาสุขภาพ การดำเนินงานพัฒนาสุขภาพ จำเป็นต้องอาศัยทุนที่เป็นตัวเงิน และทุนที่ไม่ใช่ตัวเงินหรือทุนทางสังคมและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งทุนที่เป็นตัวเงินจะมีความหมายในลักษณะการเงินการคลังด้านสุขภาพและการพัฒนาด้านต่างๆ เพื่อจัดบริการให้กับคนในชุมชนอย่างคุ้มค่า คุ้มเวลาที่ทำงานและประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ซึ่งแต่ละชุมชน สามารถแสวงหาแหล่งทุนได้ทั้งภายในและภายนอกชุมชน และนำมาบริหาร จัดการให้เกิดผลกำไร แล้วนำดอกผลนั้นมาใช้ในการพัฒนาต่อไป
.......... นอกจากองค์ประกอบหลัก 3 ประการแล้ว หัวใจสำคัญของระบบสุขภาพภาคประชาชน คือ การจัดการ (management) เพื่อให้ประชาชนมีความสามารถในการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ซึ่งการจัดการในที่นี้ คือ การปฏิบัติการประสานให้เกิดความสมดุลย์ เพื่อการเคลื่อนไหวของปัจจัย คน องค์ความรู้หรือวิธีการทำงาน และทุนเพื่อการพัฒนาสุขภาพ ให้เกิดการดำเนินกิจกรรมการพัฒนาสุขภาพ เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของคนในชุมชน ป้องกันและแก้ปัญหาสุขภาพของคนในชุมชน ทั้งนี้กิจกรรมการพัฒนาสุขภาพที่ดำเนินโดยชุมชนนั้นขึ้นกับการตัดสินใจของชุมชนว่าจะดำเนินการในเรื่องใด อย่างไร ซึ่งสามารถแสดงเป็นแผนภาพเชิงแนวคิดองค์ประกอบระบบสุขภาพภาคประชาชน ดังแผนภาพ 1
การจัดบริการสาธารณสุขต่าง ๆ ในแต่ละสังคม
คนในสังคมคือผู้กำหนดนโยบายในสังคม
โดยที่อาจจะมีการผสมกลมกลืนค่านิยมเหล่านี้ควบคู่กันไป
นอกจากค่านิยมดังกล่าวแล้วการจัดระบบบริการสาธารณสุขยังขึ้นอยู่กับระบบของสังคม และการเมืองในแต่ละประเทศด้วย
ซึ่งระบบบริการสาธารณสุขของประเทศต่าง ๆ สามารถ แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทเช่นกันคือ
(Milton I. Roemer, 1995)
1.
การจัดบริการสาธารณสุขแบบตลาดแข่งขันเสรี (Entrepreneurial
Health System) การจัดระบบบริการสาธารณสุขแบบเน้นระบบตลาดแข่งขันเสรีจะมีเอกชนเป็นผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับบริการสุขภาพ
เช่น โรงพยาบาลเอกชน และคลินิก
การบริการมุ่งการแข่งขันเพื่อให้เกิดกำไรสูงสุดแก่สถานบริการสาธารณสุข
ประชาชนมีเสรีภาพในการใช้บริการอย่างเต็มที่ บริการส่วนใหญ่จะมีคุณภาพสูง
เนื่องจากต้องแข่งขันกันในการให้บริการ
แต่ในระบบบริการสาธารณสุขแบบนี้ค่าบริการสุขภาพจะมีราคาแพง ประชาชนที่มีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงบริการได้
มีการใช้เทคโนโลยีระดับสูงและมีราคาแพงประเทศที่ใช้ระบบนี้คือ สหรัฐอเมริกา
ฟิลิปปินส์ และเคนยา อันนี้จะเข้าได้กับหลักของเสรีภาพ
2.
การจัดระบบบริการสาธารณสุขแบบรัฐสวัสดิการ (Welfare-Oriented
Health System) เป็นการจัดบริการสาธารณสุขที่รัฐเป็นผู้ดำเนินการให้กับประชาชนของตน
ทั้งในแบบให้เปล่าและประชาชนมีส่วนร่วมในการจ่ายค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพส่วนใหญ่จะมาจากภาษีอากรหรือกองทุนด้านสุขภาพอื่น
ๆ สถานบริการสาธารณสุขส่วนใหญ่จะเป็นของรัฐหรือองค์กรที่ไม่แสวงกำไร
การจัดบริการสาธารณสุขในรูปแบบรัฐสวัสดิการนี้ประชาชนจะมีความเสมอภาคกันในการเข้าถึงสถานบริการแต่เสรีภาพในการเลือกใช้บริการของประชาชนมีน้อยกว่าในระบบตลาดแข่งขันเสรี
อันนี้เข้าได้กับหลักเสมอภาคและความเป็นธรรม
3.
การจัดระบบบริการสาธารณสุขแบบสังคมนิยม (Socialist
Health System) ระบบสังคมนิยมหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
ระบบวางแผนจากส่วนกลาง (Central planning System) ในระบบนี้รัฐจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทุกอย่างในสังคม
ในทางทฤษฎีแล้วอุปทานของบริการสุขภาพ (Supply of Health Care) จะขึ้นอยู่กับความจำเป็นทางด้านสุขภาพ (Normative needs) ของประชาชน
ซึ่งบริการทุกอย่างจะถูกวางแผนมาจากส่วนกลางรัฐเป็นเจ้าของสถานบริการสาธารณสุขทุกประเภท
ประชาชนสามารถใช้บริการแบบได้เปล่าตามความจำเป็นทางด้านสุขภาพ
ในระบบนี้โดยหลักการแล้วค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะต่ำ เนื่องจากากรประหยัดในขนาด (Economic
of scale) แต่ในทางปฏิบัติ
ผู้ที่วางแผนจัดบริการสาธารณสุขคือเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งขาดแรงจูงใจ
ในการดำเนินงานทำให้ระบบนี้ค่อนข้างจะมีประสิทธิภาพต่ำ
ในระบบนี้ประชาชนจะไม่มีเสรีภาพในการใช้บริการ ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันหมด
ประเทศที่ใช้ระบบแบบนี้คือประเทศคอมมูนิสต์เดิม เช่น สหภาพโซเวียตเดิม คิวบา
4.
การจัดบริการสาธารณสุขแบบครอบคลุมทั้งหมด (Comprehensive
Health System) การจัดบริการสาธารณสุขแบบครอบคลุมทั้งหมดนี้ รัฐจะมีหน้าที่ในการให้หลักประกันการบริการสาธารณสุขทุกชนิดแก่ประชาชนโดยการจัดบริการครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มและครอบคลุมบริการทุกชนิด
โดยรัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุนทางด้านการเงินแก่สถานบริการสาธารณสุข
ประเทศที่ใช้ระบบนี้ เช่น อังกฤษ ศรีลังกา เป็นต้น ระบบบริการสาธารณสุขของประเทศไทยมีลักษณะบางส่วนที่คล้ายกับระบบของประเทศสหรัฐอเมริกาโดยที่ประชาชน
ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพของตนเองถึงร้อยละ 60-70
และประชาชนมีเสรีภาพในการเลือกใช้บริการสาธารณสุขตามฐานะและรายได้ของตนเอง
ปัญหาของระบบบริการสาธารณสุขในแบบการแข่งขันเสรี คือ ประชาชนที่ยากจน
ไม่สามารถเข้าถึงบริการได้ การแข่งขันนำไปสู่ค่าบริการที่แพงขึ้น
มีการให้บริการมากเกินความจำเป็น มีการใช้เทคโนโลยี
ที่เกินความจำเป็นในการรักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศจะสูง
สำหรับทิศทางการจัดบริการสุขภาพของประเทศไทย มีความพยายามที่จะเน้นไปสู่ระบบรัฐสวัสดิการโดยกระทรวงสาธารณสุขได้สนับสนุนให้มีการประกันสุขภาพ
โดยสมัครใจมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีการแข่งขันกันในเชิงธุรกิจมากขึ้น
โดยเฉพาะโรงพยาบาลอกชนมีการนำเอาธุรกิจด้านโรงพยาบาลเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ซึ่งในลักษณะเช่นนี้ไม่มีอยู่ในระบบริการสาธารณสุขของประเทศใด
แม้แต่สหรัฐอเมริกาที่เน้นการแข่งขัน
แต่โรงพยาบาลที่ไม่ใช่ของรัฐบาลก็ยังคงเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหารกำไรอยู่ เช่น
ของมูลนิธิ และคริสตจักร แนวคิดการจัดบริการสาธารณสุขระดับสถานีอนามัย
แนวคิดเกี่ยวกับการจัดบริการสาธารณสุขในระดับ "สถานีอนามัย"
เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษเมื่อปี พ.ศ.
2463 เรียกว่า Primary health centre ต่อมา ในปี พ.ศ. 2473
มีการประชุมกันในยุโรปและกำหนดนิยามของ Rural health centre ว่าเป็นสถานบริการที่ทำหน้าที่ทั้งส่งเสริมสุขภาพ
ป้องกันโรคและรักษาพยาบาลในสถานที่เดียวกัน
แนวคิดของสถานีอนามัยได้กระจายไปทั่วโลก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ในยุโรปและบางประเทศให้บริการโดยแพทย์ ในประเทศที่กำลังพัฒนาส่วนใหญ่ให้บริการโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
(Health auxiliary)การจัดบริการสาธารณสุข สามารถแบ่งออกเป็นหลายชนิด
เช่น แบ่งตามระดับการให้บริการ ( Level of care) แบ่งตามชนิดของการให้บริการ
(Type of care) เป็นต้นการแบ่งตามระดับการให้บริการ
ระดับการให้บริการ (Level of Care) เช่นเดียวกับการจัดบริการของทั้งประเทศ
โดยจัดแบ่งเป็น 5 ระดับ คือ
1. การดูแลสุขภาพด้วยตนเองในระดับครอบครัว
(Self Care Level) หมายถึง การพัฒนา
ศักยภาพให้ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพด้วยตนเอง
รวมถึงการตัดสินใจเลือกปฏิบัติในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัย
แนวโน้มประชาชนมีความตระหนักในการดูแลตนเองด้านสุขภาพมากขึ้น เช่น การลดการสูบบุหรี่หรือมีการออกกำลังกาย
แต่ขณะเดียวกันการดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วยน้อยลง
โดยหันไปใช้บริการจากสถานพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนมากขึ้น
2. การบริการสาธารณสุขมูลฐาน
(Primary Health of Care
Level : PHC) หมายถึง
การบริการสาธารณสุขที่
ดำเนินการโดยประชาชนด้วยกันเองและสามารถจะทำได้ในระดับชุมชน
เป็นงานสาธารณสุขแบบผสมผสานทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค
การรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูสภาพ
วิทยาการทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่ใช้ไม่สูงมากนัก
ซึ่งจะเหมาะสมและสอดคล้องกับขนบธรรมเนียมและความต้องการของชุมชน
การบริการสาธารณสุขในระดับนี้ ผู้ให้บริการคือ
ประชาชนด้วยกันเองและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
หรืออาสาสมัครประเภทอื่นที่เป็นประชาชนด้วยกันเองไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ
การบริการระดับนี้
จึงใกล้ชิดกับการดูแลรักษาตนเองและบริการสาธารณสุขระดับต้นเป็นอย่างมาก
3.
การจัดบริการสุขภาพระดับต้น
(Primary Care Level หรือ Primary Medical Care :
PMC) เป็นการจัดบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประเภทต่างๆ
และแพทย์ทั่วไป ลักษณะของระบบบริการสุขภาพระดับต้นของไทย
นอกจากในระดับสถานีอนามัยและโรงพยาบาลชุมชนแล้ว
จะเป็นลักษณะที่ไม่มีพื้นที่รับผิดชอบที่ชัดเจน และทั้งหมดยังไม่มีลักษณะของการดูแลให้บริการแบบองค์รวมในระดับครัวเรือน
นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
จึงมุ่งเน้นการพัฒนาระบบบริการระดับต้นที่ดูแลแบบองค์รวมทุกครัวเรือน
ในอนาคตอันใกล้คงจะได้เห็นบริการระดับต้นที่เป็นองค์รวมและเข้มแข็งขึ้น
บริการสุขภาพระดับต้นในจังหวัดสงขลา ประกอบด้วยหน่วยบริการดังนี้ คือ
·
สถานีอนามัย
(สอ.) เป็นหน่วยบริการสุขภาพระดับตำบลหรือระดับหมู่บ้าน
ทั่วไป ที่อยู่ใกล้ชิดชุมชนมากที่สุด (First Line Health Service) ครอบคลุมประชากรประมาณ 1,000 – 5,000 คน
มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติประจำ คือพนักงานอนามัย ผดุงครรภ์ พยาบาลเทคนิค ปัจจุบันบางแห่งมีทันตาภิบาล
พยาบาลวิชาชีพ และนักวิชาการสาธารณสุข บรรจุเข้าทำงานในสถานีอนามัยด้วย
การให้บริการจะเน้นการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และรักษาพยาบาล
ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ดำเนินการจะอยู่ภายใต้การกำหนดมาตรฐานการนิเทศงาน
และการสนับสนุนทางวิชาการจากโรงพยาบาลชุมชน
·
ศูนย์บริการสาธารณสุขของเทศบาล,
แผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลต่างๆ
ทั้งของรัฐและเอกชนทุกระดับ
รวมถึงการดำเนินการลักษณะเป็นคลินิกเวชปฏิบัติครอบครัว คลินิกชุมชน
ศูนย์แพทย์ชุมชน ศูนย์สุขภาพชุมชนตามโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ตลอดจนคลินิกเอกชน เป็นการบริการผู้ป่วยนอกทั่วไป โดยแพทย์และบุคลากรระดับวิชาชีพ
·
ร้านขายยา
จัดเป็นบริการระดับต้นอย่างหนึ่ง ซึ่งดำเนินการโดยเภสัชกรหรือ
ผู้ได้รับการอบรมความรู้ด้านยา
4. การจัดบริการสุขภาพในระดับกลาง (Secondary Care Level หรือ Secondary Medical Care : SMC) เป็นการจัดบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ดำเนินการโดยแพทย์ที่มีความชำนาญสูงปานกลาง ประกอบด้วยหน่วยบริการทั่วไปและแพทย์เฉพาะทางสาขาหลัก ดังนี้
4. การจัดบริการสุขภาพในระดับกลาง (Secondary Care Level หรือ Secondary Medical Care : SMC) เป็นการจัดบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ดำเนินการโดยแพทย์ที่มีความชำนาญสูงปานกลาง ประกอบด้วยหน่วยบริการทั่วไปและแพทย์เฉพาะทางสาขาหลัก ดังนี้
·
โรงพยาบาลชุมชน
(รพช.) เป็นหน่วยบริการสุขภาพที่ให้บริการด้าน
การแพทย์และสาธารณสุขระดับอำเภอ
มีเตียงสำหรับผู้ป่วยตั้งแต่ 10 เตียง ไปจนถึง 150 เตียง ครอบคลุมประชากรตั้งแต่
10,000 คนขึ้นไป มีแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอื่นๆปฏิบัติงานประจำ
การให้บริการจะเน้นหนักในด้านการรักษาพยาบาลมากกว่าสถานบริการในระดับต้น
·
โรงพยาบาลทั่วไปหรือโรงพยาบาลศูนย์
และโรงพยาบาลขนาดใหญ่อื่นๆของ
รัฐ โรงพยาบาลทั่วไปเป็นโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในระดับจังหวัดหรืออำเภอขนาดใหญ่
มีขนาดและจำนวนเตียงผู้ป่วยตั้งแต่ 200 – 500 เตียง โรงพยาบาลศูนย์ คือโรงพยาบาลในระดับจังหวัดที่มีขนาดเกิน 500
เตียงขึ้นไป และมีแพทย์เฉพาะทางสาขาต่างๆ ครบถ้วน
·
โรงพยาบาลเอกชน
ที่ดำเนินการโดยไม่มุ่งกำไรหรือดำเนินการแบบธุรกิจ มี
แพทย์ปฏิบัติงานประจำหรือมาทำนอกเวลาทำงาน
ประชาชนต้องเสียค่าบริการ
5. การจัดบริการสุขภาพระดับสูง (Tertiary Care หรือ Tertiary Medical Care : TMC) เป็นการจัดบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขอื่นๆ ที่ต้องปฏิบัติงานโดยผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ประกอบด้วยหน่วยบริการ ดังนี้ คือ
5. การจัดบริการสุขภาพระดับสูง (Tertiary Care หรือ Tertiary Medical Care : TMC) เป็นการจัดบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขอื่นๆ ที่ต้องปฏิบัติงานโดยผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ประกอบด้วยหน่วยบริการ ดังนี้ คือ
·
โรงพยาบาลศูนย์
·
โรงพยาบาลทั่วไป
·
โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย
และโรงพยาบาลใหญ่ของรัฐในสังกัดกระทรวงอื่นๆ
·
โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่
ซึ่งมีแพทย์เฉพาะทางสาขาต่างๆ ครบถ้วน
ส่วนมากเป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดมากกว่า 100 เตียง
การแบ่งระดับสถานบริการออกเป็นระดับต่างๆ
นี้ เป็นการแบ่งคร่าวๆ แต่ในทางปฏิบัติตามความเป็นจริงแล้ว
สถานบริการระดับสูงก็มักจะมีระดับต้นปนอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งการจัดระดับบริการเพื่อรองรับกับการจัดสถานบริการตาม
GIS (Geographic Information System) สำหรับใช้ในการวางแผนและขอสนับสนุนการลงทุนด้านบุคลากร
ครุภัณฑ์ และสิ่งก่อสร้าง
โดยการจัดระดับบริการสาธารณสุขในสังกัดโดยใช้เกณฑ์มาตรฐานการบริหารจัดการเป็นเครือข่าย
(Net Work) ของกระทรวงสาธารณสุข ตามระบบข้อมูลทางภูมิศาสตร์
ซึ่งแบ่งระดับสถานบริการออกเป็น 6 ระดับ คือ
1.
หน่วยบริการปฐมภูมิ ระดับ 1
2.
โรงพยาบาลชุมชน ระดับ 2.1
3. โรงพยาบาลชุมชน ระดับ
2.2
4.
โรงพยาบาลชุมชน ระดับ 2.3
5.
โรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไป ระดับ 3.1
6.
โรงพยาบาลระดับ Excellence Center ระดับ 3.2
สรุปดังภาพ